วันที่ 26 ต.ค.65 นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้กล่าวถึงรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SME Sentiment Index: SMESI) ประจำเดือนกันยายน 2565 เปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า พบว่า ค่าดัชนี SMESI อยู่ที่ระดับ 52.9 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 51.2 และเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 มีปัจจัยบวกมาจากกำลังซื้อในภาคการค้าและภาคการบริการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสาขาการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เดือนสิงหาคม จำนวนรวม 18,693,602 คน (ที่มา: กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) ซึ่งได้รับแรงสนับสนุนมาจากการจัดงานอีเว้นท์และงานประเพณีในแต่ละพื้นที่ที่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ ประกอบกับโครงการคนละครึ่งเฟส 5 โครงการเราเที่ยวด้วยกันและโครงการเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ มีส่วนกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยด้วยการเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนและเพิ่มยอดขายให้กับผู้ประกอบการโดยเฉพาะกิจการรายย่อยรวมทั้งกิจการภาคการค้าและภาคบริการ
ซึ่งในดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME ดังกล่าวคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 54.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 53.6 เนื่องจากผู้ประกอบการมีมุมมองเชิงบวกต่อสถานการณ์การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และคาดการณ์ยอดขายและการใช้บริการจะสูงในช่วงปลายปีเนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลปีใหม่ ประกอบกับผู้ประกอบการมีความกังวลด้านต้นทุนของกิจการลดลง และคาดการณ์ว่ารัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนออกมาต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ทั้งนี้จากการสอบถามธุรกิจ SME กับสถานการณ์และความต้องการช่วยเหลือด้านหนี้สินของธุรกิจ พบว่า ผู้ประกอบการ SME กว่าร้อยละ 50 ไม่มีภาระหนี้สิน ส่วนร้อยละ 48.2 มีภาระหนี้ ซึ่งกลุ่มธุรกิจขนาด กลางมีสัดส่วนภาระหนี้สินสูงสุด แหล่งเงินกู้ยืมที่ใช้จ่ายในกิจการ ร้อยละ 75.5 มาจากสถานบันการเงิน โดยอยู่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์มากที่สุด และส่วนใหญ่กู้ยืมเพื่อลงทุนในกิจการ
ขณะที่ผู้ประกอบการที่กู้ยืมนอกระบบ ส่วนใหญ่กู้ยืมจากเพื่อน/ญาติพี่น้องและนายทุนเงินกู้ เพื่อนำไปใช้เป็นเงินหมุนเวียนและการซ่อมแซมขนาดเล็กที่ใช้จำนวนเงินไม่มากนัก โดยผู้ประกอบการ SME กว่าร้อยละ 70 ยังคงมีความสามารถในการชำระหนี้จนครบสัญญา แต่ยังมีผู้ประกอบการเกือบร้อยละ 30 ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ซึ่งอยู่ในธุรกิจภาคการเกษตรและภาคการค้ามากที่สุด ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะสามารถชำระหนี้ได้ไม่เกิน 6 เดือนหากภาวะเศรษฐกิจปรับตัวในทิศทางที่แย่ลง